บทที่ 6 เรื่องบังเอิญที่ตั้งใจ
เมื่อถูกทวงถามเรื่องไปพบกับครอบครัวของอนงค์นางภพธรก็นิ่งไป หลังจากที่เขากับอนงค์นางตกลงแต่งงานกัน ชายหนุ่มยังไม่ได้พาครอบครัวเข้าไปคุยรายละเอียดเลยสักครั้ง ช่วงนี้งานเขายุ่งเลยยังปลีกตัวไม่ได้สักที
"เต้ยยุ่ง น้องเข้าใจค่ะ ไว้หาเวลาว่าง ๆ นะคะ น้องกลับก่อนดีกว่าเดี๋ยวดึก เต้ยก็เข้านอนเร็ว ๆ นะคะ ห้ามเมานะ” สั่งเสียคนรักเรียบร้อยอนงค์นางก็ลุกขึ้นยืน ร่างสูงยังกอดเอวอวบไว้แน่น
"มีอะไรคะ” อนงค์นางนึกสงสัยกับอาการของคนรัก
"เปล่า ขับรถดี ๆ นะถึงแล้วโทรมาบอกด้วย” ภพธรบอกเมื่อคลายมือออกจากเอวของคนรัก
"รักเต้ยนะคะ รักมากกกกก” อนงค์นางลากเสียงยาว พร้อมกับฝังจมูกเล็ก ๆ ที่แก้มสากทั้งซ้ายขวา
"เต้ยคะ! น้องว่าจะถามอะไร ลืมเลยค่ะ” ร่างอวบอิ่มหันมาถามเมื่อเดินไปถึงประตูทางเดินลงบันไดไปชั้นล่าง
"ว่าไงครับ!” ภพธรหันไปทางต้นเสียง
"บ้านที่ปากช่องน่ะค่ะ พี่ธีทำท่าเหมือนไม่อยากรับงานนี้ น้องไม่ยอมนะคะ เต้ยต้องพูดกับพี่ธีให้น้องด้วย” อนงค์นางเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่คุยค้างไว้กับธีรเทพ คำว่าพี่ธีทำให้ร่างสูงหัวใจกระตุก
"น้องไปนะคะ เดี๋ยวน้องล็อกประตูให้เลย บายค่ะ” อนงค์นางโบกมือลาคนรัก แล้วเดินจากไป ฅ
ทิ้งให้ร่างสูงนั่งใช้ความคิดอยู่ที่เดิม ใช่สินะเขาลืมธีรเทพไปได้อย่างไร ที่ออฟฟิศธีรเทพมีอะไรหลาย ๆ อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะคนร่างบางที่ดูสวยขึ้น ใบหน้าสวยหวานที่ไม่ชอบแต่งแต้มสีสัน ตอนนี้กลับมีการแต่งเติมจนสวยขึ้นผิดตา ดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอย่างตกตะลึงนั่นอีกที่น่าสนใจ
และที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ไอ้คนที่ถอดเสื้อคลุมแล้วโอบกอดเธอนั่นมันเป็นใครกัน เวลาแค่สามปีเท่านั้นทำให้ใครบางคนเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ขนาดนี้เลยหรือ มือแกร่งเผลอกำเข้าหากันแน่น เขาอยากจะฟาดลงกับอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์โกรธกรุ่น
เธอหลอกเขาทำไม หลอกให้เขาไปเรียนต่อทำไม ผู้หญิงคนนั้นเขาพยายามลืมมาตลอดเวลาสามปีเต็ม ๆ จนเขาคิดว่าลืมเธอไปแล้ว ‘มินรญา’ ผู้หญิงหลอกลวง เธอไม่เคยสนใจเขา ไม่เคยเห็นเขาในสายตา
ในขณะที่คนอื่น ๆ พยายามเข้าหาเขา แต่เธอกลับถอยหนี ยิ่งเขาเข้าใกล้เท่าไรเธอก็ถอยหนีมากเท่านั้น จนเขาคิดว่าเธอจะดีกับเขาเมื่อเธอเลิกหนี แต่เปล่าเลยเธอกลับส่งเขาให้ไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในต่างแดนคนเดียว พอเขาคิดถึงอยากถามอยากคุยด้วย เธอก็ทิ้งเขาเหมือนเป็นของสิ่งของ
แก้วเหล้าข้างตัวแตกกระจายเมื่อร่างสูงปาเข้าฝาผนังเต็มแรง เสียงดังสะท้อนเพราะตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบสนิท
Mean Talk
"มีน กลับดึกจังเลย" มาอีกแล้วไอ้เต้ยมันมาหลอกหลอนฉันอีกแล้ว อยากจะเอาหัวชนกำแพงตาย ก็ไม่ยุ่งแล้วไง ไม่สนใจ ไม่เห็น ไม่ทัก จะเอาอะไรกับมีนอีก ฉันถอนหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อยืนสบตากับคนร่างสูงที่มายืนดักรอฉัน
"มีไร” ฉันตอบกลับแบบห้วน ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดดีกับมัน
"มีน ที่บอกว่าไม่ให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว คือแกต้องทำตัวห่างเหินกันขนาดนี้เลยเหรอ” มันยังมาถามใช่ไงไม่ต้องสนใจกันเลย ทำเป็นคนไม่รู้จักกันไปเลยได้ยิ่งดี
"ก็ไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ ที่ฉันยังวนเวียนใกล้ ๆ น่ะ” ฉันย้อนมันเอาให้มันหน้าหงายไปเลย
"มีน” มันเรียกชื่อฉันสั้น ๆ จ้องหน้าฉันเขม็ง ตาโคตรดุจนฉันนึกกลัว มันจะมาไม้ไหนวะฉันเริ่มมองหาทางหนีทีไล่
"กินข้าวยัง” อ้าวไอ้นี่เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน ฉันยืนงงตามมันไม่ทัน
"กินมาแล้ว” มันพยักหน้ารับ
"ขอคุยด้วยหน่อย” มันขยับตัวยืนเต็มความสูงเหมือนจะไปไหน จากเดิมที่มันยืนหันหลังพิงกำแพงอยู่
"อืม ว่ามา” ฉันบอกแบบเซ็ง ๆ รีบ ๆ คุย ฉันจะได้ไปพัก
"ไปคุยบนห้องมีน ยุงกัด” มันพูดเหมือนไม่สนใจอะไร นั่นห้องผู้หญิงนะโว้ยขอขึ้นห้องเขาง่ายไปไหม ฉันส่ายหัวแทนคำตอบ
"คุยที่นี่แหละเข้าไปใต้อาคารมีโต๊ะนั่ง มีพัดลมยุงไม่กัด” ฉันบอกแล้วออกเดินนำหน้ามันไป
"เฮ้ย!” ฉันร้องอย่างตกใจเมื่อข้อมือข้างซ้ายโดนกระชากแรง ๆ จนเกือบหงายหลัง
"เป็นบ้าอะไรเนี่ย!” ฉันตวาดใส่มัน
อยู่ ๆ มาดึงแขนเจ็บนะโว้ย นั่นยังไม่ปล่อยอีก ฉันสะบัดแรง ๆ มันยิ่งบีบ เมื่อมองมันใกล้ ๆ แบบนี้เพิ่งเห็นตามันแดงก่ำ ไอ้เต้ยเมาใช่ไหมเนี่ย พอเข้าใกล้กันแบบนี้ฉันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุน ๆ จากมันทันที
"ไปห้องเต้ย!” มันเสนอทางออกให้ฉันแล้วออกแรงลาก เออดีนะเสนอทางออกให้ถามฉันสักคำไหม ฉันยังไม่ยอมเดินตามมัน สะบัดมือออกแรง ๆ จนมันรู้สึก แล้วหันมามองจ้องตาดุใส่ฉัน ไอ้เต้ยเป็นคนดุฉันรู้ เวลามันโกรธแบบนี้หน้ายิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่
"เต้ย ๆ เจ็บ” ฉันพูดกับมันและได้ผลมันหยุดและหันมามอง แบบจ้องเขม็งตาแดงก่ำ ดีนะที่ควันไม่ออกหูด้วย ฉันแกะมือมันออกเบา ๆ มันยอมคลายมือออกแต่ไม่ปล่อย
"เต้ย คุยกันตรงนี้แหละมีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา มีเรียนตอนเช้า การบ้านเยอะต้องรีบทำ” ฉันเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เอาจริง ๆ นะฉันไม่อยากเสี่ยงกับอารมณ์ของมัน
"ให้ไปบนห้องสิเดี๋ยวช่วยทำการบ้าน" 0_0 พ่อเทพบุตร พ่อคนใจดีมีน้ำใจ
"เต้ยไม่ได้เรียนวิชานี้หรอก ทำเองได้ เต้ยปล่อยมือก่อนคนมองมา อาย" ฉันบอกมันอีกครั้งเมื่อมันยังจับข้อมือฉันอยู่แบบนั้น
"มีน ทำไมต้องหลบหน้าด้วย” มันเข้าประเด็นทันทีเหมือนกัน จนฉันตามไม่ทัน
"ก็ไม่ได้หลบไปไหน มหาลัยมันกว้าง คงไม่เจอกันเอง"
"เมื่อวานเต้ยเดินผ่านอาคารเอ มีนเดินหลบไปอีกทาง” อ้าวเห็นด้วยเหรอฉันตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อโดนจับได้ ก็แค่ไม่อยากเจอ เห็นอยู่ว่าเดินกับแฟน
"อ้อ พอดีลืมนะว่าต้องไปเอารายงานที่ห้องอาจารย์"
"เหรอ บังเอิญจัง” มันยังจ้องมองฉันด้วยสายตาจับพิรุธฉันไม่ชอบแบบนี้เลย ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับผิด มาบังคับให้ฉันพูดอะไร
"แล้วไงล่ะ แกจะเอาอะไรกับฉัน แกไม่ให้ฉันยุ่งเรื่องของแก ก็ไม่ทำไง ไม่ยุ่ง แกจะไปไหนกับใคร จะคบใครก็เรื่องของแก จบปะ พอทีเถอะ เหนื่อยปวดหัวด้วย”
ฉันสาดคำพูดใส่หน้ามัน นึกโกรธที่ยังมาวุ่นวายกับฉันอีก ฉันเกลียดมัน เกลียดไม่อยากเจอแล้ว
"มีน เต้ยไม่ได้ให้มีนทำแบบนี้ อยากให้มีนเป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกัน” เต้ยปล่อยมือฉัน มันพยายามอธิบาย ได้ ใช่ไง อยากให้เราเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม มีนจัดให้
"ได้ เต้ย ก็ได้ เป็นเหมือนเดิมใช่ไหม เราไม่ได้สนิทอะไรกัน แค่มาจากโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น ที่รู้จักกันเพราะแกชอบเดียร์ เริ่มคุยกันเพราะแกไปเที่ยวกับเดียร์ แล้วที่มายืนคุยกันเนี่ย เพราะว่าบังเอิญสอบติดที่เดียวกันไง ชัดไหม”
ฉันตะเบ็งเสียงใส่หน้ามัน หมดความอดทน ฉันบอกตัวเองเมื่อหันหลังวิ่งขึ้นตึกด้วยตาพร่ามัว น้ำตามาจากไหนกันนะ
ฉันไม่ได้อยากร้องสักหน่อยบังเอิญไง บังเอิญทุกอย่าง ที่ฉันต้องมาเรียนขีด ๆ เขียน ๆ เนี่ย เพราะบังเอิญ ฉันเสือกรู้ไงว่ามันเลือกที่นี่เป็นอันดับหนึ่ง หัวฉันไม่ไปคงเรียนวิศวะฯ ไม่ไหว ที่เลือกมาเรียนสถาปัตย์เนี่ย เพราะบังเอิญมันมีวิชาที่ได้เรียนด้วยกันกับมึงไงไอ้เต้ย ไอ้บ้า ไอ้ควาย กลับไปกินหญ้าต่อเลยไป ฉันวิ่งหนีมันพร้อมกับตะโกนด่ามันในใจตลอดทางหลังจากวันนั้นไอ้เต้ยก็ไม่มายุ่งกับฉันอีกเลย แต่ฉันก็ยังเห็นมันอยู่เรื่อย ๆ เพราะเราพักอยู่หอเดียวกัน เต้ยเลิกกับเดียร์แล้ว เดียร์ก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไรคงเป็นเพราะพวกเรากำลังเข้าสู่วัยที่เริ่มเปลี่ยนแปลง มีหลายอย่างใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมากมายทั้งเพื่อน เรื่องเรียน และกิจกรรม จนกระทั่งเรื่องของเต้ยก็โดนฝังกลบไปตามเวลา แต่ใจฉันก็ยังคิดถึงมันเสมอ
End Talk.
